
โรคมีเนีย (Miniere’disease)

โรคมีเนีย (Miniere’disease)
ในช่วงนาทีขณะคุณกำลังเดิน หรือยืนอยู่บนโลกมนุษย์อย่างเป็นปกติ ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าโลกอาจจะกลายเป็นหมุนติ้วรอบๆตัวคุณ กระเพาะอาหารของคุณก็กำลังเริ่มปั่นป่วน พร้อมจะอาเจียนออกมาทุกเมื่อ หูมีเสียงคำรามดังตลอดเวลา เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะบอกคุณเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคมีเนียมาก่อนอย่างน้อยที่สุดต้องเคยมีประสบการณ์ดังกล่าวเหล่านี้
อาการของโรค
อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนเป็นอาการที่พบบ่อย มักพบร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออกเกิดขึ้นในทันทีทันใด ระยะเวลาอาจจะอยู่นานกว่า 20 นาที ถึง 2-3 ชั่วโมง อาการดังกล่าวมักเป็นรุนแรงแต่ไม่ทำให้หมดสติหรือเป็นอัมพาต เมื่อหายเวียนศีรษะผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนเป็นปกติ
หูอื้อ อาจจะเป็นชั่วคราวหรือถาวร ถ้าเป็นระยะแรกการสูญเสียการได้ยินจะเป็นแค่ชั่วคราวหลังจากหายเวียนศีรษะแล้วการได้ยินจะกลับมาเป็นปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยที่มีอาการเวียนบ่อยๆ หรือเป็นมานานอาการหูอื้อมักจะถาวร บางทีหูหนวกไปเลยก็ได้
เสียงดังในหู ผู้ป่วยจะมีเสียงดังในหูข้างที่ผิดปกติร่วมด้วย ผู้ป่วยบางคนจะบอกว่ามีเสียงเหมือนจักจั่นหรือจิ้งหรีดร้อง บางคนก็บอกว่าเหมือนเสียงคำรามอยู่ในหูตลอดเวลา เสียงดังในหูอาจเป็นตลอดเวลาหรือเป็นขณะเวียนศีรษะ
อาการตึงๆ ภายในหูคล้ายกับมีแรงดัน เกิดจากแรงดันของน้ำในหูชั้นในที่ผิดปกติ
สาเหตุ
โรคมีเนีย เป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุเป็นส่วนใหญ่ ในกลุ่มที่ทราบสาเหตุจะเรียกว่า กลุ่มอาการมีเนีย ได้แก่ โรคซิฟิลิส หูน้ำหนวก เป็นต้น เพราะฉะนั้นโรคนี้จึงรักษาไม่หายขาด เพียงแต่รักษาอาการเวียนศีรษะให้หายเป็นปกติเท่านั้น อาการของโรคเป็นที่หูข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ระยะแรกๆมักเป็นข้างเดียว เมื่อเป็นนาน อากาศที่หูข้างที่สองจะเป็นร่วมด้วยได้มากขึ้น
พยาธิสภาพ
หูคนเราประกอบด้วยหูชั้นนอก หูชั้นกลางและหูชั้นใน หูชั้นในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนมีลักษณะคล้ายก้นหอย ทำหน้าที่รับเสียง กับส่วนที่เป็นอวัยวะรูปเกือกม้า 3 อันรวมกันทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว หูชั้นในนอกจากจะแบ่งตามหน้าที่แล้วยังแบ่งตามโครงสร้างเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นกระดูก กับส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายใน ส่วนที่เป็นกระดูกจะห่อหุ้มส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายใน ภายในส่วนเยื่อหุ้มภายใน จะมีของเหลวอยู่
เมื่อเกิดพยาธิสภาพของโรคมีเนีย ของเหลวที่อยู่ภายในจะคั่งมาก ทำให้การไหลเวียนไม่สะดวก แรงดันที่เพิ่มขึ้นในหูชั้นในจะขัดขวางการทำงานของกระแสประสาทที่เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว ทำให้สูญเสียการได้ยินและสมดุลย์ เกิดอาการเวียนศีรษะ เมื่อแรงดันมากขึ้นผู้ป่วยจะรู้สึกตึงๆ ในหูข้างที่ผิดปกติ
การรักษา
การควบคุมอาหาร ลดอาหารที่มีรสเค็ม โดยจำกัดเกลือ แนะนำให้เติมเกลือลงในอาหารวันละไม่เกิน 2 กรัม (ประมาณ 1 ช้อนชา)
การรักษาทางยา
1.ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดสภาวะอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน
2.ยาลดอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียน ควรใช้ในขณะที่มีอาการเท่านั้น
3.ยากล่อมประสาท และยานอนหลับ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายและนอนหลับได้เป็นปกติ
4.ยาขยายหลอดเลือด ช่วยลดอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นในนอกจากนี้การปฏิบัติตัวเพื่อให้ผู้ป่วยลดภาวะ อาการของโรค เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้แก่
- ลดภาวะเครียด ควบคุมอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใส และลดงานบางอย่างที่มากจนเกินไป
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะการนอนหลับ ถ้ามีเสียงรบกวนในหูมากจนทำให้นอนไม่หลับข้อแนะนำที่ดีคือ เปิดเพลงเบาๆ ขณะนอนเพื่อเปิดเสียงที่รบกวนในหูให้หมดไป
- หลีกเลี่ยงสิ่งต่อไปนี้ คือ ชา กาแฟ เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้อาการแย่ลง
- การบริหารระบบการทรงตัว เป็นการบริหารศีรษะและการทรงตัวทำให้สมองสามารถปรับตัวได้รวดเร็วขึ้น
- พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ในที่มีเสียงดัง แสงแดดจ้า หรืออากาศร้อนอบอ้าว เป็นต้น
- จัดสถานที่ ที่บ้านและที่ทำงานให้ปลอดภัย ทางเดินที่เดินเป็นประจำจะต้องปราศจากของมีคมและตกแตกง่าย
การรักษาโดยการผ่าตัด
จำเป็นในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาทางยาแล้วไม่ได้ผล
โดย พ.อ.(พิเศษ) รศ.สุรเดช จารุจินดา
โรงพยาบาลพระมุงกุฏเกล้า
มีข้อสงสัยกรุณาติดต่อ คลินิกหูคอจมูก คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา
โทรศัพท์ 02-3190909 ต่อ2309-2310 เวลา 08.00-19.00น.
Leave a reply